วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โรคไข้หวัดใหญ่


ไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดต่างกันอย่างไร
ไข้หวัดใหญ่เป็นการติดเชื้อ Influenza virus เป็นการติดเชื้อทางเดินระบบหายใจ เช่น จมูก คอ หลอดลม และปอด เชื้ออาจจะลามเข้าปอดทำให้เกิดปอดบวม ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศรีษะ ปวดตามตัวปวดกล้ามเนื้อมาก จะพบมากทุกอายุโดยเฉพาะในเด็กจะพบมากเป็นพิเศษ แต่อัตราการเสียชีวิตมักจะพบมากในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ โรคไต เป็นต้น การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด สามารถลดอัตราการติดเชื้อ ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล ลดโรคแทรกซ้อน ลดการหยุดงานหรือหยุดเรียน
สำหรับไข้หวัดเป็นการติดเชื้อไวรัส ผู้ป่วยจะมีอาการน้ำมูกไหล ไข้ไม่สูงมาก
ในปี คศ.2003 ได้มีการแนะนำเรื่องไข้หวัดใหญ่ดังนี้
  1. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฉีดวัคซีน คือเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน(เนื่องจากเชื้อนี้มักจะระบาดในต่างประเทศ หากประเทศเราจะฉีดก็น่าจะเป็นช่วงเดียวกัน) โดยเน้นไปที่ประชาชนที่มีอายุ 50 ปี,เด็กอายุ 6-23 เดือน,คนที่อายุ 2-49 ปีที่มีโรคประจำตัวกลุ่มนี้ให้ฉีดในเดือนตุลาคม ส่วนกลุ่มอื่น เช่นเด็ก เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ผู้ดูแลคนป่วย กลุ่มนี้ให้ฉีดเดือนพฤศจิกายน
  2. เด็กที่อายุ 6-23 เดือนควรจะฉีดทุกรายโดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัวร่วมด้วย
  3. ชนิดของวัคซีนที่จะฉีดให้ใช้ชนิดที่มีส่วนผสมของเชื้อ A/Moscow/10/99 (H3N2)-like, A/New Caledonia/20/99 (H1N1)-like, และ B/Hong Kong/330/2001
  4. ให้ลดปริมาณสาร thimerosal ซึ่งเป็นสารปรอท

การติดต่อ
เชื้อนี้ติดต่อได้ง่ายโดยทางเดินหายใจ วิธีการติดต่อได้แก่
  • ติดต่อโดยการไอหรือจาม เชื้อจะเข้าทางเยื่อบุตาและปาก
  • สัมผัสเสมหะของผู้ป่วยทางแก้วน้ำ ผ้า จูบ
  • สัมผัสทางมือที่ปนเปื้อนเชื้อโรค
  • อ่านรายละเอียด
อาการของโรค
อาการของไข้หวัดใหญ่จะเหมือนกับไข้หวัด แต่ไข้หวัดใหญ่จะเร็วกว่า ไข้สูงกว่า อาการทำสำคัญได้แก่
  1. ระยะฟักตัวประมาณ1-4 วันเฉลี่ย 2 วัน
  • ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลียอย่างเฉียบพลัน
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้
  • ปวดศรีษะอย่างรุนแรง
  • ปวดแขนขา ปวดข้อ ปวดรอบกระบอกตา
  • ไข้สูง 39-40 องศาในเด็ก ผู้ใหญ่ไข้ประมาณ 38 องศา
  • เจ็บคอคอแดง มีน้ำมูกไหล
  • ไอแห้งๆ ตาแดง
  • ในเด็กอาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน
  • อาการไข้ คลื่นไส้อาเจียนจะหายใน 2 วัน แต่อาการน้ำมูกไหลคัดจมูกอาจจะอยู่ได้ 1 สัปดาห์
  1. สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงมักจะเกิดในผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัว
  • อาจจะพบว่ามีการอักเสบของเยื่อหุ่มหัวใจ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ
  • อาจจะมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะปวดศรีษะ ซึมลง หมดสติ
  • ระบบหายใจอาจจะมีอาการของโรคปอดบวม จะหอบหายใจเหนื่อยจนถึงหายใจวาย
  • โดยทั่วไปไข้หวัดใหญ่จะหายในไม่กี่วัน แต่ก็มีบางรายซึ่งอาจจะมีอาการปวดข้อและไอได้ถึง 2 สัปดาห์
ระยะติดต่อ
ระยะติดต่อหมายถึงระยะเวลาที่เชื้อสามารถติดต่อไปยังผู้อื่น
  • ระยะเวลาที่ติดต่อคนอื่นคือ 1 วันก่อนเกิดอาการ
  • ห้าวันหลังจากมีอาการ
  • ในเด็กอาจจะแพร่เชื้อ 6 วันก่อนมีอาการ และแพร่เชื้อได้นาน 10 วัน
แหล่งที่มา

ริดสีดวงทวาร

ริดสีดวงทวาร เกิดจากการโตขึ้นกลุ่มของ เส้นเลือด และ เนื้อเยื่อ บริเวณส่วนปลายของลำไส้ตรง ที่เรียกว่า hemorrhoidal tissue
คนปกติมีริดสีดวงหรือไม่ เนื่อเยื่อนี้มีหน้าที่อะไร ในคนปกติ จะมีริดสีดวง(hemorrhoidal tissue)ทุกคน โดยจะอยู่บริเวณ ส่วนล่างของ ทวารหนัก
เนื้อเยื่อ ริดสีดวงจะมีอยู่ 3 กลุ่มใหญ่ๆคือ
(ลองนึกภาพ ถ้าเรานอนหงายแล้วกางขาออก เหมือนท่าคนจะคลอดลูก เปรียบเทียบกับ นาฬิกาด้านหน้า เป็น 6 นาฬิกา ด้านหลังเป็น 12 นาฬิกา ด้านซ้ายเป็น 3 นาฬิกา ด้านขวาเป็น 9 นาฬิกา
(ค่อยๆนึกครับ วาดรูปประกอบก็ได้)

เนื้อเยื่อริดสีดวงปกติจะมีอยู่ 3 ตำแหน่ง คือ ที่ 3 , 7 , และ 11 นาฬิกา
(ที่บอกมี 3 หัวอะไรทำนองนี้ครับ)

เนื่อเยื่อริดสีดวงมีหน้าที่อะไร?
หน้าที่ปกติ จะมีหน้าที่ ป้องกัน กล้ามเนื้อของทวารหนัก รวมทั้งหูรูด ระหว่าง ถ่ายอุจจาระ และช่วยให้
ทวารหนักปิดได้สนิท ในขณะที่เราอยู่เฉย

โรคริดสีดวงทวารเกิดจากอะไร?
ริดสีดวง เกิดจากการโตขึ้น ของ เนื้อเยื่อ Hemorrhoid ซึ่งสาเหตุแบ่งง่ายๆ เป็น 2 อย่างคือ
1.เป็นความผิดปกติของหลอดเลือดบริเวณนั้น
2.เกิดจากการเพิ่ม ความดัน ต่อ กำบังลมด้านล่าง(Pelvic Floor) นานๆ ซึ่งการเพิ่มความดัน ดังกล่าว
เกิดได้จาก การเบ่งอุจจาระบ่อยๆ จากท้องผูก การยกของหนัก การยืนนานๆ รวมทั้งการตั้งครรภ์
จากการที่มีเด็กอยู่ ทำให้ เลือดไหลกลับไม่สะดวก

จากสาเหตุดังกล่าวทำให้ กลุ่มเส้นเลือดดังกล่าว โตและ ยืดออก ซึ่งการที่มีเลือดออกนั้นเกิดจาก การที่มี
การบาดเจ็บของเส้นเลือด บริเวณดังกล่าว(Local Injury) ที่เจอบ่อยๆเกิดจาก อุจจาระที่แข็งมากๆ ร่วมกับ
การเบ่งนานๆ ทำให้จะมีเลือดสดๆ ไหลออกจากทวารหนัก

โรคริดสีดวงมีกี่ชนิด?
เราแบ่งโรคนี้ออกเป็น 2 ชนิด คือ
1.ริดสีดวงภายใน
คือริดสีดวง ที่อยู่เหนือ เส้นสมมุติที่เรียกว่า dentate line(บริเวณแถวๆ รอยที่หยักๆครับ)จะมีลักษณะที่สังเกตง่ายๆ คือ
-จะคลุมด้วยเยื่อบุของทวารหนัก ไม่ใช่ผิวหนัง ด้านนอก
-จะไม่เจ็บ ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน
-ส่วนใหญ่มักเป็นอันนี้กัน
ริดสีดวงภายใน แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ
1.ไม่มีก้อนยื่นออกมานอกทวารหนัก
2.มีก้อนยื่นออกมาขณะเบ่งอุจจาระ และหดกลับเข้าไปได้เอง
3.มีก้อนยื่นออกมาขณะเบ่งอุจจาระ แต่ไม่หดกลับเข้าไปต้องใช้มือช่วยดันเข้าไป
4.มีก้อนยื่นออกมาและไม่สามารถใช้มือดันเข้าไปได้

2.ริดสีดวงภายนอก
คือริดสีดวงที่อยู่ใต้เส้น Dentate line สังเกตง่ายๆคือ
-จะเป็นก้อนทีอยู่ข้างนอก
-ส่วนที่คลุมก้อน จะเป็นผิวหนัง มักมีอาการคัน และ เจ็บมากกว่า ริดสีดวงภายใน
-หลังจากอาการหายไป บางครั้ง ติ่งผิวหนังนั้นอาจยังอยู่ กลายเป็นติ่งเนื้อที่เรียกว่า Skin Tag

อาการของโรคริดสีดวง มีอะไรบ้าง?
อาการของโรคนี้ที่มีพบแพทย์ มี 3 อาการ
1.ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด
ลักษณะจะเป็นดังนี้คือ จะถ่ายอุจจาระออกมาก่อน ( ระหว่างถ่ายอาจจะเจ็บหรือไม่ก็ได้) จากนั้นจะมีเลือดสดๆ
หยดออกมา ตามหลังจากอุจจาระ เลือดจะเป็นเลือดสดจริงๆ มักไม่มีมูกเลือดปน
2.มีก้อนออกมาระหว่างถ่ายอุจจาระ
ขณะที่เบ่งอุจจาระ จะมีก้อนยื่นออกมา หรือ มีก้อนออกมาตลอดเวลา ขึ้นกับ ระยะที่เป็น
3.เจ็บบริเวณ ทวารหนัก
ปกติ ริดสีดวงจะไม่เจ็บ จะเจ็บในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น เส้นเลือดอุดตัน(Thrombosis)
หรือ มีเนื้อเยื่อตาย(Necrosis)


แหล่งที่มา
http://www.eclubthai.com/board/index.php?topic=44769.0

วิธีรักษาสิว


  • สิวเกิดจาก…ความมันบนใบหน้า เนื่องจากต่อมไขมันใต้รูขุมขนได้รับอิทธิพลจากฮอร์โมน ทำให้สร้างมันออกมามาก บางครั้งระบายออกมาไม่ทัน ทำให้เกิดเป็นสิวอุดตัน
  • สิวเกิดจาก…ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง ทำให้ต่อมไขมันทำงานผิดปกติ
  • สิวเกิดจาก…การแพ้สารเคมีต่างๆ ส่วนมากแล้วมักเกิดจากเครื่องสำอาง ครีมป้องกันแดด ครีมหน้าขาว ครีมป้องกันริ้วรอย ฯลฯ
  • สิวเกิดจาก…การรับประทานอาหารมันๆ ผลิตภัณฑ์จากนม อาหารที่หวานจัด
  • สิวเกิดจาก…ความเครียด ความวิตกกังวล ในการดำเนินชีวิต
ปัจจัยของการเกิดสิวข้างต้น เพื่อนๆคงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว ว่าสิวเกิดจากอะไรบ้าง และมีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้ใบหน้าของเราปราศจากสิว…มาติดตามบทความนี้ไป พร้อมๆกันค่ะ
การรักษาสิวเป็นที่นิยมมากขึ้น เกิดแนวทางการรักษาขึ้นมากมาย ทำให้เพื่อนๆอาจเกิดความสับสนว่าวิธีการใดเหมาะกันตนเอง รักษาแล้วจะมีผลข้างเคียงอย่างไร ดังนั้น เราจึงควรศึกษาวิธีการรักษาแบบต่างๆ ดังนี้ค่ะ
  1. การรักษาสิวในรูปของยาฉีด ยาฉีดมักอยู่ในรูปของสารสเตียรอยด์ มีผลต้านการอักเสบ เมื่อฉีดยาให้หัวสิวทำให้สิวยุบตัวอย่างรวดเร็วเป็นที่ถูกใจของผู้รับการ รักษา ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีผลข้างเคียงควรปรึกษาแพทย์ค่ะ
  2. การรักษาด้วยครีมรักษาสิว เป็นวิธีการรักษาที่ค่อนข้างจะปลอดภัย และเป็นที่นิยมมากที่สุดค่ะ ส่วนตัวครีมรักษาสิวที่ใช้แล้วได้ผลดี เช่น ยาทารักษาสิวกลุ่มกรดวิตามินเอ (vitamin A acid) เบนซอยล์เพอร์ออกไซด์ (BP) แอคติแนค เป็นต้น
  3. การรักษาในรูปของยารับประทาน ยารักษาในกลุ่มยาแก้อักเสบ เช่น กลุ่มยาแบคทริม ( Bactrim) และแดบโซน (Dapsone) การใช้ยาในกลุ่มนี้ ควรให้แพทย์เป็นผู้ควบคุมสั่งจ่ายเท่านั้น เพื่อนๆไม่ควรซื้อหารับประทานเอง เพราะจะเกิดผลข้างเคียงโดยรู้เท่าไม่ถึงกาลได้
  4. การรักษาโดยใช้แสงเลเซอร์  วิธีการนี้เป็นวิธีการใหม่อาศัยเทคโนโลยีชั้นสูง โดยการใช้แสงที่มีช่วงคลื่นจำเพาะไปควบคุมทำลายต่อมไขมัน วิธีการรักษาสิวโดยเลเซอร์นี้จะมีผลเฉพาะผิวหนังบริเวณที่ทำการรักษาได้ผลดี จุดประสงค์ของการใช้แสงเพื่อที่จะลดการใช้ยาและผลข้างเคียงต่างๆ
อย่างไรก็ตามวัตถุประสงค์ในการรักษาสิวที่ถูกต้องก็คือ ความปลอดภัย ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน และที่สำคัญคือ ไม่เกิดแผลเป็นจากสิว เพื่อนๆหลายคนคงจะได้รับความรู้เกี่ยวกับวิธีการรักษาสิวกันแล้ว อย่าลืมนำไปใช้ให้เหมาะสมกับตนเองนะคะ

วิธีการดูแลรักษาผิวหน้าเมื่อเกิดสิวเสี้ย

ก่อนที่จะรู้จักวิธีรักษาสิวเสี้ยน เรามาทำความรู้จักกับสิวเสี้ยนให้มากกว่านี้ก่อนดีกว่า

สิวเสี้ยนคืออะไร
อะไรต้นเหตุของการเกิดสิวเสี้ยน
วิธีขจัดสิวเสี้ยนทำอย่างไร
ยาทาหรือครีมรักษาสิวเสี้ยน
สิวเสี้ยนคืออะไร…ปัญหาผิวหน้ามีจุดไขมันอุดตันเป็นหัว ดำๆ บางเม็ดบีบออกมาเป็นก้อนไขมัน แต่บางเม็ดพอบีบออกมาแล้วใช้เล็บเกลี่ยจะเห็นเป็นเศษขนเล็กๆ ไขมันอุดตันและเศษขนเล็กๆ ในรูขุมขน เป็นต้น
ต้นเหตุของสิวเสี้ยน… สิวเสี้ยนมี 2 ชนิด
เกิดจากการอุดตันของไขมันในท่อต่อมไขมัน(comedone) ถ้าปากรูขุมขนปิดจะเรียกว่า “สิวหัวขาว” ต่อมาสิ่งอุดตันอาจดันให้รูขุมขนเปิดเรียกว่า “สิวหัวดำ”Ž
เกิดจากการอุดตันของกระจุกเส้นขนเล็กๆ ในรูขุมขน (trichostasis spinulosa) เห็นเป็นจุดดำๆ เล็กๆ ซึ่งพบได้บ่อยเช่นกัน แต่มักพบในผู้ใหญ่ ในขณะที่ชนิดแรกพบบ่อยในวัยรุ่น

สิวเสี้ยนทั้ง 2 ชนิดนี้มักเกิดบริเวณจมูกและข้างแก้ม บางคนแก้ไขปัญหานี้โดยการบีบและแกะสิวเสี้ยน อาจทำให้ผิวหนังอักเสบและติดเชื้อลุกลาม การขจัดสิ่งอุดตันในรูขุมขนไม่ว่าจะเป็นก้อนไขมันหรือกระจุกเส้นขนเล็กๆ อย่างถูกวิธีทำให้รูขุมขนแลดูเล็ก

อาหารประเภทไหนที่ช่วยไม่ให้เกิดสิว

สวัสดีค่ะ…ปัญหาเรื่องสิวคงจะเป็นปัญหาที่รบกวนใจเพื่อนๆมากๆเลยใช่ไหมค่ะ เพื่อนๆ ที่เป็นสิวคงมีวิธีการรักษาสิวกันอย่างถูกวิธีนะคะ จากที่ได้เคยแนะนำไปเกี่ยวกับการใช้ครีมรักษาสิวที่เป็นชนิดทา และชนิดรับประทาน เพื่อนๆ คงจะทราบวิธีการใช้ยาแต่ละประเภทอย่างถูกต้องแล้ว สำหรับเพื่อนๆที่ตามไม่ทัน ติดตามอ่านบทความกันย้อนหลังได้ค่ะ…
การเกิดสิวมีสาเหตุอยู่หลายประการ เรื่องการรับประทานอาหารก็เป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้เช่นกัน จากที่ได้เคยนำเสนอเกี่ยวกับอาหารที่กระตุ้นในเกิดสิวไปแล้ว วันนี้จะพาเพื่อนๆมารู้จักอาหารอีกกลุ่มหนึ่งที่มีประโยชน์ ไม่เพียงทำให้ร่างกายแข็งแรงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังช่วยในการป้องกันสิวได้ด้วยค่ะ เริ่มจากสารอาหารที่ป้องกันสิวได้ ได้แก่ วิตามินเอ, วิตามินบี, วิตามินซี ,วิตามินดี และ วิตามินอี ส่วนแร่ธาตุ ได้แก่ แคลเซียม ,โพแทสเซียม ,โครเมียม และ สังกะสี
การรับประทานอาหารที่ทำให้ได้สารอาหารเหล่านี้ [...] Continue Reading…

วิธีการดูแลผิวหน้าสำหรับคุณสาวๆ

คลินิกรักษาสิวทั่วๆไป ถ้าเพื่อนๆสังเกตจะเห็นว่า 90% จะเป็นผู้หญิงที่เข้ารับบริการมากกว่าผู้ชาย ถือได้ว่าผู้หญิงอย่างเราๆเป็นเพศที่รักสวยรักงามมาก ต้องดูแลผิวพรรณให้ดูดีอยู่เสมอๆ วันนี้เรามีขั้นตอนการดูแลผิวพรรณก่อนที่จะถึงมือแพทย์มาฝากกันค่ะ คุณสาวๆ อาจจะทราบกันบ้างแล้วแต่อาจยังปฏิบัติไม่ถูกวิธี มาดูวิธีปฏิบัติไปพร้อมๆ กันค่ะ
ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน หรือด้วยน้ำเปล่า ในเวลาเช้า 1 ครั้ง และเวลาเย็นอีก 1 ครั้ง หรือหลังออกกำลังกายหากเหงื่อออกมากสามารถล้างหน้าได้อีก แต่ถ้าหน้าแห้งมากไม่ควรใช้สบู่ล้าง ควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าค่ะ เพราะถ้าเป็นช่วงที่เป็นสิวจะเกิดการอักเสบได้ง่าย
ไม่บีบแกะสิว เรื่องการบีบแกะสิวเคยแนะนำกันไปบ้างแล้ว เพื่อนหลายๆคนมักมีปัญหาแผลเป็น และรอยดำก็มาจากการบีบแกะสิวนั่นเอง ดังนั้นถ้าไม่อยากรักษากันนานไม่ควรถูและจับผิวหน้าบ่อยๆ โดยเฉพาะตรงบริเวณที่เป็นสิว เพราะอาจจะทำให้ผิวเกิดริ้วรอย จุดด่างดำได้ง่าย

สิวหัวดำหรือสิวเสี้ยนเกิดขึ้นได้อย่างไร

ถ้าพูดถึงเรื่องสิว หลายๆคนคงจะเคยเป็นกันมาบ้างแล้ว บางคนเป็นสิวหัวขาว บางคนเป็นสิวหัวดำหรือสิวเสี้ยน บางคนเป็นทั้งสองอย่างเลย แต่สิวหัวดำหรือสิวเสี้ยนจะเกิดขึ้นเป็นบางจุดบนใบหน้าของเรา หลายๆคนอาจจะเกิดความสงสัยว่า สิวหัวดำหรือสิวเสี้ยนเกิดขึ้นได้อย่างไร และการรักษาใช้ครีมรักษาสิวชนิดใด หรือจะใช้วิธีไหนที่จะป้องกันไม่ให้เกิดสิวเสี้ยนได้ วันนี้เรามีคำตอบพร้อมที่จะคลายข้อสงสัยของเพื่อนๆค่ะ
ก่อนอื่นขอเรียกว่าสิวหัวดำว่าสิวเสี้ยนนะคะ เพื่อนๆน่าจะคุ้นกับคำนี้มากกว่า สิวเสี้ยนเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน เนื่องจากซากเซลล์ที่ตายแล้ว ผสมกับไขมันของต่อมไขมันเกิดความเหนียวเหนอะหนะและอุดรูขุมขนเอาไว้ ทำให้เส้นขนที่ต้องการเจริญงอกงามออกมาไม่สามารถออกมาได้ วิธีการแก้ปัญหาสิวเสี้ยนที่ถูกต้องก็คือ การทำให้รูขุมขนไม่อุดตัน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้องและตรงจุดที่สุดค่ะ
เนื่องจากสิวเสี้ยนเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน โดยที่รูตันเพราะเซลล์ตาย และผิวผลิตน้ำมันออกมา ถ้าสามารถห้ามไม่ให้เกิดทั้งสองอย่างนี้ได้ ก็เป็นการแก้ไขที่ต้นเหตุจริงๆ วิธีที่จะนำเอาสิ่งที่อุดตันรูขุมขนออกให้ได้ผลจริงๆคือ การลอกผิวที่ตายแล้วออกมานั่นเอง เราสามารถลอกเอาผิวที่ตายแล้วออกจากรูขุมขนที่อุดตันอยู่นี้โดยการใช้กรดไฮดรอกซี (Hydroxy acids) ซึ่งเป็นกรดธรรมชาติอย่างหนึ่

แหล่งที่มา

วิธีลดต้นแขน


วิธีลดต้นแขน


วิธีลดต้นแขน


- บริหารต้นแขนด้านใน นั่งตรงขอบเก้าอี้ถือเวทหรือขวดน้ำที่มีขนาดพอดีมือ แล้วโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยใช้มือซ้ายยันเข่าเพื่อพยุงตัว ส่วนข้อศอกขวายึดไว้กับเข่าขวาด้านในยกเวทหรือขวดน้ำเข้าหาไหล่ทำสัก 20 ครั้ง สลับกันทั้งสองข้าง

- บริหารต้นแขนด้านนอก
 ยืนแยกเท้าและงอเข่าเล็กน้อย มือถือลูกบอลยกขึ้นเหนือศีรษะ งอข้อศอกและส่งลูกบอลไปด้านหลังจนจรดต้นคอ กลับสู่ท่าเริ่มต้นทำซ้ำอย่างน้อย 30 ครั้ง

- บริหารไหล่ มือ ซ้ายและขวาถือขวดน้ำข้างละใบไว้ที่ระดับสะโพกค่อย ๆ ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ แล้วเหวี่ยงไปข้างหลัง วนเป็นรูปวงกลมทำประมาณ 10 รอบ แล้วเปลี่ยนสลับข้าง

- บริหารไหล่และหลัง ยืนแยกเท้าและงอเข่าเล็กน้อยในมือทั้งสองถือพ็อคเก็ตบุคข้างละ 2-3 เล่ม พักไว้ตรงหน้าขาค่อย ๆ ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นสูงถึงระดับไหล่ ชูแขนเหยียดตรงเกร็งกล้ามเนื้อพร้อมลดแขนลงช้า ๆ ทำซ้ำประมาณ 20 ครั้ง

- บริหารอกและแขน ตั้งเก้าอี้วางชิดผนังมือเกาะที่ขอบเก้าอี้ทรงตัวเหยียดแขนตรงยืนบนปลายเท้า จากนั้นงอศอกดึงตัวเข้าหาเก้าอี้ให้ใกล้ที่สุดแล้วยืดแขนออกทำซ้ำสัก 30 ครั้ง


แหล่งที่มา
http://www.n3k.in.th/%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%82%E0%B8%99

สูตรลดความอ้วน


สูตรที่ 1 ลด 7-8 กิโลกรัมใน 2 สัปดาห์ 

1. มื้อเช้า กินไข่ต้ม 1 ฟอง กินได้ทั้งไข่แดงและไข่ขาว หรือทานโยเกิร์ต 1 ถ้วย แทน
2. มื้อกลางวัน กินสลัดผัก 1 จาน ถ้าไม่ชอบสลัดให้ทานส้มตำ 1 จาน (ไม่หวาน) แทน
3. มื้อเย็น กินแอปเปิ้ล 1 ผล หรือแฮมนึ่ง 1-2 แผ่น แทนได้
4. งดอาหารหลัง 6 โมงเย็น ถ้าหิวให้ดื่มน้ำมากๆ แทน
5. เต้นแอโรบิก 60 นาที อย่างน้อย 4 ครั้งต่อสัปดาห์

สูตรที่ 2 ลด 3-5 กิโลกรัมใน 2 สัปดาห์ 

1. กินอาหารวันละ 700-800 แคลอรี่
2. กินสลัดผัก หรือผลไม้ 2 ผลหรือกินไข่ต้ม 1 ฟองเป็นมื้อเย็น
3. งดอาหารหลัง1 ทุ่ม ถ้าหิว ให้กินผลไม้ 1 ผลหรือโยเกิร์ต 1 ถ้วย
4. ว่ายน้ำอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์
5. เต้นแอโรบิก 40-60 นาทีทุกวัน

สูตรที่ 3 ลดน้ำหนัก 5-7 กิโลกรัม ได้ผลใน 3 สัปดาห์ 

1. มื้อเช้ากินโยเกิร์ต 1 ถ้วย (โยเกิร์ตจะช่วยเรื่องการขับถ่าย ให้พลังงานน้อย และดีต่อสุขภาพ)
2. มื้อกลางวันกินก๋วยเตี๋ยวน้ำ 1 ชามเท่านั้น
3. มื้อเย็นกินผักจิ้มน้ำพริก ทานข้าวนิดหน่อย งดข้าวได้ยิ่งดี ถ้าหิวหลังจาก 1 ทุ่มให้กินผลไม้ได้ 1 ผล (แต่ไม่ใช่กินทุเรียน มะม่วง หรือผลไม้ที่หวานมาก) ควรเป็นแอบเปิ้ลหรือส้ม
4. เปิดเพลง เต้นรำในจังหวะเร็วๆ 60 นาที วันเว้นวัน หรือวิ่งจ็อกกิ้ง 45 นาทีแทน
5. ว่ายน้ำ 60 นาที 2 ครั้งต่อสัปดาห์

สูตรที่ 4 ลด 3-5 กิโลกรัมใน 4 สัปดาห์ 

1. กินอาหารไม่เกินวันละ 1000 แคลอรี่ ตัวอย่างปริมาณแคลอรี่ในอาหารเช่น
  • นมไขมันต่ำ 1 ถ้วย ให้พลังงาน 240-250 แคลอรี 
  • โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย ให้พลังงาน 125 แคลอรี 
  • โยเกิร์ต 1 ถ้วย ให้พลังงาน 140-150 แคลอรี 
  • เนย 50 กรัม ให้พลังงาน 300 แคลอรี 
  • ไข่ต้ม 1 ฟอง ให้พลังงาน 80 แคลอรี 
  • ไข่เจียว 2 ฟอง ให้พลังงาน 90-100 แคลอรี
2. งดของทอดๆ ที่ใช้น้ำมันปริมาณมากๆ
3. ของหวานกินได้สัปดาห์ละครั้งเท่านั้น
4. ว่ายน้ำ 1 ชั่วโมงเต็ม สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
5. เต้นแอโรบิก 40-60 นาที วันเว้นวัน

สูตรที่ 5 ลด 6-8 กิโลกรัมใน 1 เดือน 

1. กินไข่ต้ม 1 ฟองหรือน้ำเต้าหู้ 1 ถ้วยเป็นมื้อเช้าเท่านั้น
2. มื้อกลางวันกินอาหารได้ 1 จาน แต่มื้อเย้นกินแค่แอปเปิ้ลเขียว 1 ผลหรือสลัดผัก 1 จานเล็กๆ เท่านั้น
3. งดอาหารหลัง 1 ทุ่มตรง ถ้าหิวให้กินโยเกิร์ต 1 ถ้วย
4. กระโดดเชือก 60 นาที 2 ครั้งต่อสัปดาห์
5. เต้นแอโรบิก 60 นาที 4 ครั้งต่อสัปดาห์

สูตรที่ 6 ลด 9-10 กิโลกรัมใน 1 เดือน 

1. กินผักผลไม้หรืออาหารนึ่งๆ ต้มๆ เป็นมื้อเช้าและมื้อเย็น
2. กินก๋วยเตี๋ยว ข้าวต้ม หรือส้มตำเป็นอาหารกลางวัน
3. งดอาหารหลัง 1 ทุ่ม ถ้าหิวให้กินส้มได้ 1 ผล
4. เต้นรำด้วยเพลงเร็วๆ 60 นาที 4 ครั้งต่อสัปดาห์
5. ตีแบตมินตัน 60 นาที หรือวิ่งจ็อกกิ้ง 60 นาที 2 ครั้งต่อสัปดาห์ 

ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์วิทยาลัยพยาบาล นครลำปาง และรูปจากอินเตอร์เน็ต

สูตรลดน้ำหนักเพิ่มเติม:
สูตรลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน ลด 5 กิโลกรัมใน 1 สัปดาห์

คำแนะนำ
จุดสำคัญของการลดน้ำหนักให้ได้ผลนั้น ท่านต้องรักษาพฤติกรรมการกินอาหารที่ดีร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ (ดูเพิ่มเติมที่บทความนี้: อาหารการกิน)  เพราะการลดน้ำหนักแบบเร่งด่วนนั้น หากหลังจากเลิกโปรแกรมนี้ไปแล้วท่านกลับมาทานอาหารแบบปกติ แบบตามใจปาก ท่านก็จะกลับมาอ้วนหรือมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเหมือนเดิม  ดังนั้นเราต้องเตือนตนเองไว้เสมอ การจะลดความอ้วนอย่างได้ผลในระยะยาวนั้น จิตใจจะต้องเข้มแข็ง เราจะต้องเคร่งครัด และมีวินัยกับตนเองให้มาก โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ แต่พอทำไปสักระยะเราจะปรับตัวได้เอง และจะมีลักษณะนิสัยการกิน การใช้ชีวิตที่ส่งเสริมการควบคุมน้ำหนักได้เองโดยอัตโนมัติ หนุ่มๆ สาวๆ หลายคนไม่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักนั้น ส่วนใหญ่ทำไม่จริงจัง ทำครึ่งๆ กลางๆ แล้วก็ท้อถอย ยอมแพ้กันไป เพราะจิตใจไม่แข็งแข็งพอนั่นเอง 

แหล่งที่มา

โรคเบาหวาน


เบาหวาน diabetes

เบาหวาน เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ อันส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกิน โรคเบาหวานจะมีอาการเกิดขึ้นเนื่องมาจากการที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้อย่างเหมาะสม ซึ่งโดยปกติน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวานร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ในระยะยาวจะมีผลในการทำลายหลอดเลือด ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่สภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้โรคเบาหวานนี้เปรียบเทียบได้ง่ายๆ โดยเปรียบร่างกายเราเป็นระบบปั๊มน้ำ และน้ำในระบบก็คือเลือดของเราโดยปรกติแล้วปั๊มน้ำก็จะทำงานอย่างปรกติ แต่เมื่อมีการทำให้น้ำในระบบเกิดความข้นขึ้น(ก็คือการเติมน้ำตาลลงไปในน้ำ) น้ำในระบบก็จะมีความหนืดขึ้น ปั๊ม(หัวใจ)ก็จะต้องทำงานหนักขึ้น ท่อน้ำ(หลอดเลือด)ก็ต้องรับแรงดันที่มากขึ้น ดังนั้นคนที่เป็นโรคเบาหวานก็จะมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนกับอวัยวะต่างๆเพิ่มขึ้นได้
ปี 2550 พบผู้ป่วยเบาหวานแล้วถึง 246 ล้านคน โดยผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลก 4 ใน 5 เป็นชาวเอเชีย
เบาหวาน เป็นโรคที่เป็นกันมากขึ้นทุกปีจนมีการกำหนดให้วันที่ 14 พฤษจิกายน ของทุกปีเป็นวันเบาหวานโลกเพื่อให้มีการรณรงค์ป้องกันให้เป็นที่แพร่หลายขึ้น

อินซูลิน กับ เบาหวาน

อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มเซลล์ภายในตับอ่อน มีหน้าที่ในการนำน้ำตาลในเลือดไปสู่เนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกายเพื่อใช้ในการสร้างพลังงานและสร้างเซลล์ต่างๆ โดยปรกติแล้วเมื่อมีน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดตับอ่อนก็จะถูกกระตุ้นให้หลั่ง อินซูลิน แล้วอินซูลินก็จะเข้าจับน้ำตาลเพื่อนำไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย แต่ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ซึ่งร่างกายมี อินซูลิน ไม่เพียงพอก็จะทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น

ประเภทของ เบาหวาน

เบาหวาน สามารถแบ่งออกได้เป็น2ชนิด ได้แก่
โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิต้านทานของร่างกายทำลายเซลล์ ซึ่งสร้างอินซูลินในส่วนของตับอ่อนทำให้ร่างกายหยุดสร้างอินซูลิน หรือสร้างได้น้อยมาก ดังที่เรียกว่า โรคภูมิต้านทานตัวเอง หรือ ออโตอิมมูน(autoimmune) ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จึงจำเป็นต้องฉีดอินซูลิน เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือดระยะยาว และถ้าเป็นรุนแรง จะมีการคั่งของสารคีโตน(ketones) สารนี้จะเป็นพิษต่อระบบประสาททำให้หมดสติถึงตายได้
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็น เบาหวาน ที่พบเห็นกันเป็นส่วนใหญ่ สาเหตุที่แท้จริงนั้นยังไม่ทราบชัดเจน แต่มีส่วนเกี่ยวกับ พันธุกรรม นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์กับภาวะ น้ำหนักตัวมาก และขาดการออกกำลังกาย มีลูกดก อีกทั้งวัยที่เพิ่มขึ้น เซลล์ของผู้ป่วยยังคงมีการสร้างอินซูลินแต่ทำงานไม่เป็นปกติ เนื่องจากมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้เซลล์ที่สร้างอินซูลินค่อยๆถูกทำลายไป บางคนเริ่มมีภาวะแทรกซ้อนโดยไม่รู้ตัว โดยอาจจะใช้ยาในการรับประทาน และบางรายต้องใช้อินซูลินชนิดฉีด เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือด
นอกจากนี้ เบาหวาน ยังมีสาเหตุมาจากการใช้ยาด้วย เช่น สเตอรอยด์ ยาขับปัสสาวะ ยาเม็ดคุมกำเนิด

อาการเบื้องต้นของ เบาหวาน

ผู้เป็นโรคเบาหวานจะมีอาการเบื้องต้นคือ
  1. ปวดปัสสาวะบ่อย ครั้งขึ้น เนื่องจากในกระแสเลือดและอวัยวะต่างๆมีน้ำตาลค้างอยู่มาก ไตจึงทำการกรองออกมาในปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะหวาน สังเกตุจากการที่มีมดมาตอมปัสสาวะ จึงเป็นที่มาของการเรียก เบาหวาน

  2. ปัสสาวะกลางคืนบ่อยขึ้น

  3. กระหายน้ำ และดื่มน้ำในปริมาณมากๆต่อครั้ง

  4. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายไม่มีเรี่ยวแรง

  5. เบื่ออาหาร

  6. น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะถ้าหากน้ำหนักเคยมากมาก่อน อันเนื่องมาจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปสร้างพลังงานได้เต็มที่จึงต้องนำไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้ทดแทน

  7. ติดเชื้อบ่อยกว่าปรกติ เช่นติดเชื้อทางผิวหนังและกระเพาะอาหาร สังเกตุได้จากเมื่อเป็นแผลแล้วแผลจะหายยาก

  8. สายตาพร่ามองไม่ชัดเจน

  9. อาการชาไม่ค่อยมีความรู้สึก เนื่องมาจากเบาหวานจะทำลายเส้นประสาทให้เสื่อมสมรรถภาพลงความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกจึงถดถอยลง

  10. อาจจะมีอาการของโรคหัวใจ และโรคไต
โดย เบาหวานชนิดที่ 2 อาจจะมีอาการเหล่านี้บางอย่าง หรืออาจไม่มีอาการเหล่านี้เลย

อาการแทรกซ้อนของ โรคเบาหวาน

มักจะเกิดเมื่อเป็น เบาหวาน อย่างน้อย 5 ปีแล้วไม่ได้รักษาอย่างจริงจัง
  • ภาวะแทรกซ้อนทางสายตา (Diabetic retinopathy)เกิดจากการที่น้ำตาลเข้าไปใน endothelium ของ หลอดเลือดเล็กๆ ในลูกตา ทำให้หลอดเลือดเหล่านี้มีการสร้างไกลโคโปรตีนซึ่งจะถูกขนย้ายออกมาเป็น Basement membrane มากขึ้น ทำให้ Basement membrane หนา แต่เปราะ หลอดเลือดเหล่านี้จะฉีกขาดได้ง่าย เลือดและสารบางอย่างที่อยู่ในเลือดจะรั่วออกมา และมีส่วนทำให้ Macula บวม ซึ่งจะทำให้เกิด Blurred vision หลอดเลือดที่ฉีกขาดจะสร้างแขนงของหลอดเลือดใหม่ออกมามากมายจนบดบังแสงที่มาตกกระทบยัง Retina ทำให้การมองเห็นของผู้ป่วยแย่ลง ตาหรือจอตาเสื่อม หรือมองเห็นจุดดำลอยไปมา และอาจจะทำให้ตาบอดได้ในที่สุด
  • ภาวะแทรกซ้อนทางไต (Diabetic nephropathy)ไตมักจะเสื่อม จนเกิดภาวะไตวาย พยาธิสภาพของหลอดเลือดเล็กๆ ที่ Glomeruli จะทำให้ Nephron ยอมให้ albumin รั่วออกไปกับ filtrate ได้ Proximal tubule จึงต้องรับภาระในการดูดกลับสารมากขึ้น ซึ่งถ้าเป็นนานๆ ก็จะทำให้เกิด Renal failure ได้ ซึ่งผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตภายใน 3 ปี นับจากแรกเริ่มมีอาการ

  • ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท (Diabetic neuropathy) เบาหวาน จะทำให้หลอดเลือดเล็กๆ ที่มาเลี้ยงเส้นประสาทบริเวณปลายมือปลายเท้าเกิดพยาธิสภาพ ก็จะทำให้เส้นประสาทนั้นไม่สามารถนำความรู้สึกต่อไปได้ เช่นรู้สึกชาหรือปวดแสบปวดร้อนตามปลายมือ เมื่อผู้ป่วยมีแผล ผู้ป่วยก็จะไม่รู้ตัว และไม่ดูแลแผลดังกล่าว ประกอบกับเลือดผู้ป่วยมีน้ำตาลสูง จึงเป็นอาหารอย่างดีให้กับเหล่าเชื้อโรค และแล้วแผลก็จะเน่า และนำไปสู่ Amputation ในที่สุด ในผู้ชายอาจมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ(impotence)

  • โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary vascular disease) เบาหวาน เป็นตัวการที่จะเร่งให้เกิดการเสื่อมของหลอดเลือดทั่วร่างกายและเมื่อหลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจเสื่อมสภาพจาก เบาหวาน ประกอบกับการมีไขมันในเลือดสูง ก็จะส่งผลให้มีการตีบของหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด แต่หากหลอดเลือดเกิดอุดตัน ก็จะเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจตาย ในผู้ป่วย เบาหวาน บางราย กล้ามเนื้อหัวใจมีการทำงานน้อยกว่าปกติ คือ มีการบีบตัวน้อยกว่าปกติอันเนื่องมาจาก เส้นเลือดฝอยเล็กๆที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติจาก เบาหวาน ซึ่งจะทำการรักษาได้ยาก การรักษาที่ดีที่สุดคือ การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ปัญหาที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งของผู้เป็น เบาหวาน คือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจจะไม่แสดงอาการผิดปกติซึ่งจะบ่งชี้ว่าเป็นโรคหัวใจให้เห็นก่อน เช่นอาการเจ็บหน้าอก อันเป็นอาการเบื้องต้นของผู้ป่วยโรคหัวใจทั่วไป ดังนั้นผู้เป็น เบาหวาน บางรายอาจจะแสดงอาการครั้งแรกด้วยอาการที่รุนแรง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือ หัวใจล้มเหลว ทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ช้ากว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้

  • โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular disease) ผู้เป็น เบาหวาน จะมีอัตราเสี่ยงในการเกิดอัมพาตชนิดหลอดเลือดตีบได้สูง เพราะ เบาหวาน ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งได้ง่าย โดยจะมีหลอดเลือดแข็งทั่งร่างกายและถ้าเป็นที่หลอดเลือดของสมอง ก็จะเกิดอัมพาตขึ้น โดยอัตราเสี่ยงของผู้ป่วยที่เป็น โรคเบาหวาน จะมีโอกาสเป็นอัมพาตได้สูงกว่าผู้ป่วยปกติ 2-4 เท่า โดยจะมีอาการเบื้องต้นสังเกตุได้จาก กล้ามเนื้อแขน ขาอ่อนแรงครึ่งซีกอย่างทันทีทันใดหรือเป็นครั้งคราว ใบหน้าชาครึ่งซีกใดซีกหนึ่ง พูดกระตุกกระตัก สับสนหรือพูดไม่ได้เป็นครั้งคราว ตาพร่าหรือมืดมองไม่เห็นไปชั่วครู่ เห็นแสงผิดปกติ วิงเวียน เดินเซไม่สามารถทรงตัวได้ กลืนอาหารแล้วสำลักบ่อยๆ มีอาการปวดศรีษะอย่างรุนแรงโดยอาการปวดมักจะเกิดในขณะที่เคร่งเครียด หรือมีอารมณ์รุนแรง

  • โรคของหลอดเลือดส่วนปลาย (Peripheral vascular disease)
  • แผลเรื้อรังจากเบาหวาน (Diabetic ulcer)

ผู้ที่มีโอกาสเป็น โรคเบาหวาน

เบาหวาน พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมากในคนอายุกว่า 40 ปีขึ้นไป คนที่อยู่ในเมืองมีโอกาสเป็น เบาหวาน มากกว่าคนในชนบท คนอ้วนที่น้ำหนักเกิน โดยดูจากดัชนีมวลกาย ผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย และหญิงที่มีลูกดกโดยเฉพาะผู้มีประวัติคลอดบุตรมีน้ำหนักแรกคลอดมากกว่า4กิโลกรัม จะมีโอกาสเป็น เบาหวานได้มากขึ้น แต่ในปัจจุบันลักษณะการบริโภค และกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันส่งผลให้มีคนเป็น เบาหวาน เพิ่มมากขึ้น และการพบผู้ป่วยที่อายุน้อยที่เป็น เบาหวาน ก็เพิ่มสูงขึ้น

การป้องกันการเป็นเบาหวาน

  1. ควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และแก้ไขปัจจัยเสี่ยงอื่นๆอันจะก่อให้เกิดโรคเบาหวาน

  2. ควบคุมโภชนาการ ให้มีความสมดุลทั้งในด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย รวมไปจนถึงการใช้ยารักษาโรค

  3. ควรตรวจเช็คระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมอ โดยปรึกษาแพทย์ว่าควรตรวจเช็คเมื่อใด และ ระยะเวลาห่างในการตรวจที่เหมาะสม

  4. ยาบางชนิดหรือยาสมุนไพร อาจมีผลต่อการควบคุมน้ำตาลในเลือด จะต้องปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนใช้ยา หรือ สมุนไพร เหล่านี้

สิ่งที่ตรวจพบเมื่อเป็น เบาหวาน

เบาหวานชนิดที่ 1 มักพบในคนที่ มีรูปร่างซูบผอม ไม่มีไขมัน กล้ามเนื้อลีบฝ่อ 
เบาหวานชนิดที่ 2 อาจมีรูปร่างอ้วน บางรายตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติตามร่างกาย การตรวจปัสสาวะมักจะพบน้ำตาลในปัสสาวะขนาดมากกว่าหนึ่งบวกขึ้นไป
การตรวจน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 6 ชั่วโมง (fasting plasma glucose/FPG) มักพบว่ามีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 126 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 มิลลิลิตร

การวินิจฉัย เบาหวาน

หากสงสัยว่าเป็น เบาหวาน ควรไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลโดย อดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิด ตั้งแต่เที่ยงคืน แล้วไปเจาะเลือดในตอนเช้า เพื่อดูระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร6ชั่วโมง (FPG) ซึ่งคนปกติจะมีค่าต่ำกว่า 110 มิลลิกรัม ต่อเลือด 100 มิลลิลิตร หากพบมีค่า เท่ากับหรือมากกว่า 126 มิลลิกรัม ในการตรวจอย่างน้อย 2ครั้ง ก็วินิจฉัยได้ว่าเป็นเบาหวาน และยิ่งมีค่าสูงเท่าใดก็แสดงว่ามีความรุนแรงของการเป็นเบาหวาน เพิ่มมากขึ้น

คำแนะนำเกี่ยวกับ เบาหวาน

  1. เบาหวาน เป็นโรคเรื้อรัง ต้องใช้เวลาการรักษานานหรือตลอดชีวิต หากไม่ได้รับการปฏิบัติที่ถูกต้องก็อาจมีอันตรายจากโรคแทรกซ้อนได้มาก

  2. ผู้ที่กินยาหรือฉีดยารักษาเบาหวานอยู่ บางครั้งอาจเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ อาการได้แก่ ใจสั่น หน้ามืด ตาลาย ตัวเย็น เหงื่อออก ถ้าเป็นมากๆ อาจเป็นลม หมดสติ และอาจจะชักได้ ควรจะต้องพก น้ำตาลหรือของหวานติดตัวไว้ ถ้ารู้สึกมีอาการก็ให้รีบรับประทาน แล้วทบทวนดูว่าเกิดอาการเหล่านี้ได้อย่างไร โดยสังเกตุตัวเองจากการบริโภคอาหารเมื่อเป็นเบาหวานเช่น กินอาหารน้อยไปหรือไม่ ออกกำลังมากเกินไปหรือไม่ กินหรือฉีดยาเบาหวาน เกินขนาดไปหรือไม่ แล้วควมคุมทั้ง 3 อย่างนี้ให้พอดีกัน สำหรับผู้ที่กินอาหารผิดเวลาก็อาจเกิดภาวะนี้ได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควร รับประทานอาหารให้ตรงเวลาทุกมื้อด้วย
  3. อย่าซื้อยากินเอง เนื่องจากยาบางประเภทมีผลต่อค่าน้ำตาลในเลือดได้ เช่น สเตอรอยด์ ยาขับปัสสาวะ และยาบางประเภทก็อาจทำให้ฤทธิ์ของยารักษาเบาหวาน แรงขึ้นได้ ก็จะมีผลให้น้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติ เช่น แอสไพริน ดังนั้นเมื่อเป็น เบาหวาน ก่อนทานยาประเภทใดควรจะต้องแน่ใจว่ายานั้นไม่มีผลต่อค่าน้ำตาลในเลือด

  4. ผู้ที่มีญาติพี่น้องเป็นเบาหวาน ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นครั้งคราว เพื่อป้องกันตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม

การบริโภคอาหารเมื่อเป็น เบาหวาน

  1. เลือกบริโภคอาหารให้ครบ 5หมู่ โดยคำนึงถึงพลังงานที่ได้จากอาหารโดยประมาณจากคาร์โบไฮเดรต(แป้ง) ประมาณ 55-60%โปรตีน (เนื้อสัตว์) ประมาณ 15-20%ไขมัน ประมาณ 25%


  2. ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากควรจะต้องลดปริมาณการรับประทานลง โดยอาจจะค่อยๆลดลงให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่เคยรับประทานปรกติ และพยายามงด อาหารมันๆ ทอดๆ


  3. รับประทานอาหารที่มีกากใยมากเพื่อช่วยในการขับถ่าย


  4. หลีกเลี่ยงการรับประทานจุกจิกและรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา


  5. พยายามรับประทานอาหารในปริมาณที่สม่ำเสมอกันในทุกมื้อ


  6. หากมีอาการเกี่ยวกับโรคไตหรือความดันโลหิตสูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม


  7. แม้ระดับน้ำตาลในเลือดจะปรกติดีแล้วก็ควรจะต้องควบคุมอาหารตลอดไป

อาหารที่ห้ามรับประทานเมื่อเป็น เบาหวาน diabetes

  • น้ำตาลทุกชนิด รวมไปถึงน้ำผึ้ง


  • ผลไม้กวนประเภทต่างๆ


  • ขนมเชื่อม ขนมหวานต่างๆ


  • ผลไม้ที่มีรสหวานมากๆ


  • น้ำหวานประเภทต่างๆ


  • ขนมทอดกรอบหรือชุบแป้งทอด
แหล่งที่มา

โรคหัวใจ



โรคหัวใจ
 
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          ชั่วโมงการทำงานที่อัดแน่นด้วยความเครียด และการกินอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันและเกลือ กำลังคุกคามสุขภาพของคนยุคปัจจุบัน อีกไม่นาน... การใช้ชีวิตสมัยใหม่แบบนี้ อาจทำให้ โรคหัวใจ ระบาดทั่วเมือง... 
          หัวใจคนเรามี 4 ห้อง แบ่งซ้าย - ขวา โดยผนังของกล้ามเนื้อหัวใจ และแบ่งเป็นห้องบน –ล่างโดยลิ้นหัวใจ ในทุกๆ วัน หัวใจคนเราจะเต้นประมาณ 100,000 ครั้ง และสูบฉีดเลือดประมาณวันละ 2,000 แกลลอน เปรียบเสมือนการทำงานปกติของ "หัวใจ" แต่ถ้าวันหนึ่ง... หัวใจเราเกิดอาการผิดปกติขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร...?

          ทั้งนี้ นายแพทย์สุรพันธ์ สิทธิสุข แพทย์จากหน่วย โรคหัวใจ และหลอดเลือด คณะแพทย์ศาสตร์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า อาการผิดปกติเบื้องต้นของร่างกาย ซึ่งอาจเป็นข้อบ่งชี้ว่า มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็น โรคหัวใจ สามารถแบ่งได้หลายชนิด ดังนี้

โรคหัวใจ ที่อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน... 

          คือ อาการผิดปกติเบื้องต้นของร่างกาย ที่บ่งชี้ว่าอาจเป็น โรคหัวใจ พบบ่อยในคนทั่วไป ที่คิดว่าตัวเองมีสุขภาพดี ทั้งที่ความจริงอาจเป็นโรคหัวใจในระยะแรกเริ่ม มีดังนี้

          1. เหนื่อยเวลาออกกําลังกาย เพราะหัวใจทําหน้าที่ในการสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ขณะที่เราออกกําลังกาย หัวใจจะทํางานหนักมากขึ้น ปกติเวลาที่เราออกกำลังกายไปถึงระดับหนึ่งจะรู้สึกเหนื่อย แต่ในรายของคนที่มีอาการเริ่มต้นของ โรคหัวใจ แม้ออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย จะรู้สึกเหนื่อยผิดปกติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้นหากออกกำลังกาย แล้วรู้สึกเหนื่อยง่ายผิดปกติ อาจเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่า คุณอาจเป็น โรคหัวใจ

          2. เจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก มักพบบ่อยในคนที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และไขมันอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ อาการดังกล่าวจะมีลักษณะเฉพาะคือ รู้สึกเหมือนหายใจอึดอัด และแน่นบริเวณกลางหน้าอก เหมือนมีของหนักทับอยู่ หรือรัดไว้ให้ขยายตัวเวลาหายใจ โดยมากอาการนี้ จะแสดงออกเวลาที่หัวใจต้องทำงานหนัก เช่น ระหว่างการออกกำลังกาย หรือใช้แรงมากๆ เป็นต้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนว่า อาจเป็น โรคหัวใจ

          3. ภาวะหัวใจล้มเหลว เกิดจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างของร่างกายได้อย่างเพียงพอ โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการเหนื่อย ทั้งที่ออกกำลังกายเพียงนิดหน่อย หรือเหนื่อยทั้งที่นั่งอยู่เฉยๆ ในกรณีที่เป็นมาก อาจทำให้ไม่สามารถนอนราบได้เหมือนปกติ เพราะจะรู้สึกเหนื่อยเวลาหายใจ และอึดอัดตรงหน้าอก นอกจากนั้น อาจมีอาการหอบจนต้องตื่นขึ้นมาหอบกลางดึกอีกด้วย อาการภาวะหัวใจล้มเหลวนี้ หากไม่รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว และไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้

          4. ใจสั่นและหัวใจเต้นผิดจังหวะ ปกติหัวใจของเราจะเต้นด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอประมาณ 60 -100 ครั้ง/นาที แต่สำหรับคนที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจขยับไปถึง150 -250 ครั้ง/นาที ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจที่ไม่สม่ำเสมอนี้ จะทำให้เหนื่อยง่าย ใจสั่น หายใจไม่ทัน

          5. เป็นลมหมดสติ คืออีกหนึ่งอาการที่เตือนว่าคุณอาจเป็น โรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ซึ่งมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นลมหมดสติสูง เนื่องจากจังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ เพราะเซลล์ซึ่งทำหน้าที่ให้จังหวะไฟฟ้าในหัวใจเสื่อมสภาพ ส่งผลให้หัวใจเต้นช้าลง และส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ จนทำให้เป็นลมไปชั่วคราวได้ ทั้งนี้ การเป็นลมหมดสติ มักจะเกิดในท่ายืนมากกว่านั่ง ทำให้ขณะล้มลงศีรษะมีโอกาสฟาดพื้น และเกิดการกระทบกระเทือนต่อสมองได้มากกว่า ดังนั้น ใครที่เป็นลมบ่อยๆ ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็น โรคหัวใจ ได้

          6. หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ในกรณีนี้มักเกิดจากความผิดปกติของเซลล์หัวใจโดยตรง และมักเกิดกับคนปกติที่ไม่มีอาการของ โรคหัวใจ มาก่อนล่วงหน้า ซึ่งหากมีอาการหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือที่รวดเร็ว อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

โรคหัวใจ ที่อาการผิดปกติที่สังเกตได้จากร่างกาย... 
          นอกจากความผิดปกติชนิดเฉียบพลันแล้ว อาการบ่งชี้ที่สังเกตได้จากร่างกายของเราเอง ก็เป็นอีกหนึ่งความผิดปกติที่เตือนให้รู้ว่า คุณอาจเป็น โรคหัวใจ และควรไปพบแพทย์โดยด่วนได้เช่นกัน เป็นต้นว่า...

          1. ขาหรือเท้าบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ
 เมื่อกดดูแล้วมีรอยบุ๋มตามนิ้วที่กดลงไป ซึ่งหากเกิดขึ้นกับใคร ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คโดยด่วน เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า เวลานี้คุณอาจอยู่ในภาวะหัวใจล้มเหลวโดยที่ไม่รู้ตัว
               
          2. ปลายมือ ปลายเท้า และริมฝีปากมีลักษณะเขียวคล้ำ อาการดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ทางเดินของเลือดในหัวใจห้องขวากับห้องซ้ายมีการเชื่อมต่อที่ผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการผสมของเลือดแดงกับเลือดดํา และทําให้ปริมาณของออกซิเจนในเลือดมีปริมาณน้อยลง

โรคหัวใจ ที่อาการผิดปกติที่ตรวจพบขณะตรวจร่างกาย...


          การไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพประจำปี เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้เราสามารถคาดคะเนความเสี่ยงต่อการเกิด โรคหัวใจ ได้ เช่น ตรวจเลือดแล้วพบว่าเป็นเบาหวาน หรือมีไขมันในเลือดสูง ก็อาจสันนิษฐานได้ว่า มีความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบได้เช่นกัน หรือเอ็กซเรย์แล้วพบว่า ขนาดของหัวใจโตกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากหลอดเลือดหัวใจตีบ ลิ้นหัวใจรั่ว และกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวอ่อนกำลังลง ทำให้ห้องต่างๆ ของหัวใจขยายขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งนี้ ในกรณีที่ตรวจพบว่ามีความเสี่ยงสูง ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

ป้องกัน โรคหัวใจ อย่างไรดี... 
         
          ข้อมูลที่ได้บอกไปข้างต้น เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่า เรามีอัตราเสี่ยงสูงต่อการป่วยเป็นโรคหัวใจ เท่านั้น ซึ่งผู้ที่จะวินิจฉัยว่าเราเป็น โรคหัวใจ หรือไม่ คือแพทย์ โรคหัวใจ เท่านั้น ดังนั้นหากพบความผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนดีที่สุด

สำหรับคนที่หัวใจยังเป็นปกติ เรามีข้อแนะนำในการดูแลหัวใจ (ก่อนสายเกินไป) ดังนี้ค่ะ

          สังเกตความผิดปกติของตัวเองอยู่เสมอ โดยเฉพาะอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน เช่น ดูว่าอัตราการเต้นของหัวใจปกติดีหรือไม่ เจ็บหน้าอก ใจสั่นบ่อยๆ หรือเปล่า เป็นต้น
               
          ออกกำลังกายเป็นประจำ ซึ่งนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ สุขภาพจิตแจ่มใสแล้ว ยังช่วยให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ดีขึ้นอีกด้วย

          ดูแลสุขภาพใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ พยายามไม่เครียด รู้จักควบคุมอารมณ์ และพึงระลึกไว้เสมอว่า ความเครียดและความโกรธ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้หัวใจเต้นแรง และทำงานหนักขึ้น

          รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยงดอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งทำให้ความดันโลหิตสูง เกิดภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบได้ง่าย และหันไปกินผักผลไม้ให้มากขึ้น
               
          ควรไปตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพื่อป้องกันและรักษาโรคร้ายที่อาจคาดไม่ถึง เช่น โรคหัวใจ ซึ่งแฝงอยู่ในตัวเราตั้งแต่เนิ่นๆ

แหล่งที่มา